วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

การจราจร

        คำว่า "จราจร"(Traffic) เริ่มใช้ในครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.2474 โดยกรมตำรวจได้เสนอร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก ต่อกระทรวงมหาดไทย เพื่อขอให้ออกเป็นกฎหมายใช้บังคับประชาชน โดยที่ขณะนั้นรถจำพวกต่าง ๆ ได้ เริ่มเพิ่มมากขึ้น เช่น รถแท็กซี่ขนาดเล็ก และยังมีการสร้างสะพานพุทธยอดฟ้า เชื่อมระหว่างจังหวัดพระนคร-ธนบุรี ทำให้พื้นที่เพื่อการจราจรกว้างขวางขึ้นมีผู้ นิยมใช้รถมากกว่าเดิม พ.ต.อ.ซี. บี. ฟอลเล็ต เป็นผู้ร่าง พ.ร.บ.จราจรทางบกขึ้น โดยอาศัยหลักกฎหมายจราจรของประเทศอังกฤษ มาดัดแปลงให้เข้ากับสภาพของ ประเทศไทยและได้ผ่านการพิจารณาจาก สภาผู้แทนราษฎรให้ใช้เป็นกฎหมาย ได้เมื่อ พ.ศ.2477
        จากนั้นมาคำว่า "จราจร" ก็ได้เริ่มแพร่กระจายออกไปถึง ประชาชน การจราจรนั้นหมายถึง คน สัตว์ และยวดยานที่สัญจรไปมาถนนหลวง โดยเคลื่อนด้วยแรงคนหรือเครื่องจักร หรือ ลากจูงไปด้วยสัตว์พาหนะ แต่การ จราจรในประเทศไทยเริ่มมีมาตั้งแต่ พ.ศ.2470 แล้ว ขณะนั้นมีรถยนต์ไม่เกิน 1,000 คัน มีถนนที่รถเดินได้สะดวกเพียงไม่กี่สาย และเมื่อถึงราว พ.ศ.2502 เป็นต้นมา การ จราจรในเมืองหลวงก็เริ่มเติบโตขึ้น เพราะมีรถชนิดต่าง ๆ มากมายหลายหมื่นคัน จนเกิดเป็นปัญหาต่อมา

กฎหมายเกี่ยวกับการจราจร

            กฎหมายเกี่ยวกับการจราจร  ได้แก่  พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ที่บัญญัติขึ้นเพื่อใช้ควบคุมเส้นทางของผู้ขับขี่รถยนต์ คนเดินเท้า และคนขี่รถจักรยาน ให้ปฏิบัติตามเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน กฎหมายเกี่ยวกับการจราจรที่นักเรียนควรรู้ ได้แก่
       

            1. กฎจราจร  ที่ควรรู้มี  ดังนี้
                1)   สัญญาณจราจร  คือ สัญญาณที่ผู้มีหน้าที่เกี่ยวกับการจราจรใช้สัญญาณเพื่อสื่อสารกับผู้ควบคุมยานพาหนะ มีหลายลักษณะ  ได้แก่   
                    (1) สัญญาณธง   เรามักจะเห็นใช้สัญญาณนี้ตามหน้าโรงเรียนให้เด็กนักเรียนข้ามถนน
                    (2)  สัญญาณมือ  เรามักจะเห็นตำรวจจราจรใช้สัญญาณมือในการควบคุมการจราจรเป็นส่วนใหญ่
                    (3)  สัญญาณนกหวีด  เรามักจะเห็นตำรวจจราจรใช้สัญญาณนกหวีดควบคู่กับสัญญาณมือโดยเป่ายาว  1  ครั้ง ให้รถหยุด แต่ถ้าเป่าสั้นๆ หลายครั้งให้รถวิ่งต่อไปได้
                    (4)  สัญญาณไฟ   เรามักจะเห็นตามทางแยกต่าง ๆ  และมีใช้เหมือนกันทุกประเทศในโลก  มีใช้สีประกอบ  3  สีคือ
                        -ไฟสีแดง  หมายถึงให้ผู้ขับขี่หยุดยานพาหนะหลังเส้นให้หยุด
                        -ไฟสีเหลือง  หมายถึง  ให้ผู้ขับขี่เตรียมหยุดยานพาหนะหลังเส้นให้หยุด
                        - ไฟเขียว  หมายถึง  ให้ผู้ขับขี่ขับยานพาหนะผ่านไปได้
                2) เครื่องหมายจราจร  เป็นป้ายสัญลักษณ์ที่ติดไว้เพื่อให้ผู้ควบคุมยานพาหนะได้ทราบกฎจราจรสำหรับสถานที่นั้นๆ  แยกได้ 2 ลักษณะ  ได้แก่
                    (1)  เครื่องหมายจราจรประเภทบังคับ  เป็นเครื่องหมายจราจรที่ผู้ควบคุมยานพาหนะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด  หากฝ่าฝืนจะต้องรับโทษตามที่กฎหมายบัญญัติไว้  เช่น  ป้ายจำกัดความเร็ว

                                                              

     ให้เลี้ยวซ้าย               ห้ามเลี้ยวขวา                  ห้ามแซง                    ห้ามตรงไป

                    (2)  เครื่องหมายจราจรประเภทเตือน  เป็นเครื่องหมายจราจรที่เตือนให้ผู้ควบคุมยานพาหนะให้ระมัดระวัง เช่น  ระวังทางโค้ง    โค้งอันตราย   ทางลื่น  ทางชัน   ระวังคนข้ามถนน   โรงเรียน  เป็นต้น

                                                       
 ทางตัดกัน          ทางแคบด้านขวา             จุดกลับรถ                เตือนรถกระโดด
  
            2. กฎจราจรสำหรับคนเดินเท้า
                1)   ให้เดินบนทางเท้า  หรือถ้าจำเป็นต้องเดินบนถนนหรือไหล่ทาง  ให้เดินด้านขวาของเส้นทางจราจร
                2)   ให้ข้ามถนนโดยใช้สะพานลอยคนข้ามหรือทางม้าลายเท่านั้น  หากทางม้าลายใดมีสัญญาณไฟคนข้ามถนนให้ดูสัญญาณไฟสีแดงห้ามข้ามส่วนไฟสีเขียวข้ามได้  แต่ถ้าทางม้าลายตามทางแยกที่มีสัญญาณไฟจราจรสำหรับยานพาหนะให้ดูสัญญาณไฟสีแดงข้ามได้แต่ถ้าไฟสีเขียวห้ามข้าม
                3)   ห้ามข้ามถนนนอกสะพานลอยคนข้ามหรือทางม้าลายนับจากสะพานลอยคนข้ามหรือทางม้าลายในระยะ 100  เมตร

            3. กฎจราจรสำหรับผู้ขับขี่จักรยาน
                1)  ผู้ขับขี่จักรยานต้องขี่รถชิดขอบทางด้านซ้ายของเส้นทางปกติหรือขับขี่บนเส้นทางสำหรับรถจักรยาน
                2)   รถจักรยานต้องมีสภาพพร้อมใช้งานคือมีกระดิ่งสัญญาณที่เสียงดังได้ยินในระยะไม่น้อยกว่า 30  เมตร  มีเครื่องห้ามล้อที่สามารถใช้งานได้  มีไฟสีขาวหน้ารถ  และไฟสีแดงบริเวณท้ายรถ
                3)  ไม่บรรทุกหรือถือสิ่งของที่จะทำให้เป็นอุปสรรคในการบังคับรถหรือขับขี่ด้วยความประมาทเป็นที่น่าหวาดเสียว
                4)  ไม่นั่งขับขี่บนที่ไม่ใช่ที่นั่งหรือไม่ขับขี่ขนานกันไป 2  คัน ยกเว้นในทางจักรยานใหญ่ ๆหรือห้ามเกาะหรือพ่วงรถอื่นที่แล่นอยู่
                5)  จอดจักรยานในที่จอดรถจักรยานที่ทางราชการจัดให้มีไว้

       

            4. ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ใช้รถใช้ถนน
                1)    ผู้ขับขี่ควรขับขี่ด้วยความระมัดระวังและปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด
                2)   ผู้ขับขี่ควรใช้รถที่มีสภาพดีทั้งเครื่องยนต์และอุปกรณ์ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด   ไม่ใช้รถที่ไม่ปลอดภัย   หรือไม่มั่งคงแข็งแรง   หรือมีเสียงดังเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด   หรือก่อให้เกิดก๊าซ  ฝุ่น  ควัน หรือละอองเคมี  อันอาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย  ของผู้ใช้รถใช้ถนนอื่น
                3)   ผู้ขับขี่และผู้โดยสารควรคาดเข็มขัดนิรภัย  หรือสวมหมวกกันน็อกและเปิดไฟหน้ารถสำหรับรถจักรยานยนต์ทุกครั้งที่ทำการขับขี่
                4)   ผู้ขับขี่ควรขับด้วยความเร็ว  ใช้สัญญาณไฟ  และปฏิบัติตามป้ายเครื่องหมายจราจรและสัญญาณจราจรตามที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด  และไม่แซงในที่คบขัน
                5)  ผู้ขับขี่รถบรรทุกควรบรรทุกน้ำหนักตามที่กฎหมายกำหนด  และหากจำเป็นต้องบรรทุกสิ่งของที่มีความยาวเกินกว่าตัวรถ  ต้องติดสัญญาณธงสีแดงในเวลากลางวันและต้องติดสัญญาณไฟสีแดงในเวลากลางคืน  โดยสัญญาณธงหรือสัญญาณไฟสีแดงนั้นต้องสามารถมองเห็นได้ในระยะไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบเมตร

                6)   ผู้ขับขี่ต้องไม่ขับรถในขณะมึนเมาหรือง่วง
                7)   ผู้ขับขี่รถทุกชนิดต้องไม่ใช้สัญญาณไฟกระพริบ  สัญญาณเสียงไซเรน   สัญญาณนกหวีด  ยกเว้น  รถฉุกเฉิน  หรือรถที่ทางราชการอนุญาตให้ใช้
                8)  การขึ้นลงรถประจำทางควรรอจนรถหยุดนิ่งที่ป้ายหยุดรถประจำทางเท่านั้น  ไม่ควรกระโดดขึ้นรถขณะที่รถกำลังจะเคลื่อนตัวออกหรือหยุด หรือขณะประตูกำลังจะปิด
  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น